“อยากฟันขาวแต่กลัวอันตราย?”
“ฟอกสีฟันจะทำให้ฟันบางลงไหม?”
“เคยได้ยินว่าฟอกสีฟันแล้วเสียวฟัน จริงไหม?”
คำถามเหล่านี้ คือสิ่งที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจทำ “ฟอกสีฟัน” ซึ่งเป็นหัตถการที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่รอยยิ้มกลายเป็นหนึ่งในเสน่ห์ที่ใคร ๆ ก็อยากมี หลายคนอยากมีฟันที่ขาว สะอาด ดูสุขภาพดีเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง ทั้งในชีวิตประจำวัน การทำงาน ไปจนถึงการถ่ายรูปหรือออกกล้องในโซเชียลมีเดียแต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีความกังวลตามมา โดยเฉพาะคำถามสำคัญว่า
“ฟอกสีฟันปลอดภัยไหม?”
บางคนกลัวว่าฟันจะบางลง บางคนกลัวเสียวฟัน บางคนกังวลว่าทำแล้วฟันจะเสียหาย หรือมีผลข้างเคียงในระยะยาวในความเป็นจริง การฟอกสีฟัน เป็นหัตถการทางทันตกรรมที่ปลอดภัย หากทำอย่างถูกวิธี โดยทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน แต่หากทำผิดวิธี หรือใช้สารฟอกสีฟันที่ไม่ได้รับการรับรอง อาจเกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน เช่น ฟันไวต่อความเย็น เหงือกระคายเคือง หรือสีฟันไม่สม่ำเสมอบทความนี้จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อช่วย ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการฟอกสีฟัน ให้คุณเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าอะไรที่ปลอดภัย อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมแนะนำแนวทางในการเลือกคลินิกที่คุณสามารถไว้วางใจได้ เช่น Anytooth ที่ให้บริการฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยีแสงเย็นแบบปลอดภัย ไม่ทำให้ฟันบาง พร้อมคำแนะนำเฉพาะบุคคลสำหรับแต่ละเคสถ้าคุณกำลังคิดจะฟอกสีฟัน แต่ยังลังเลว่าทำแล้วจะดีจริงไหม บทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
จากที่เราได้กล่าวถึงความกังวลและข้อสงสัยเบื้องต้นเกี่ยวกับการฟอกสีฟันในบทนำแล้ว มาดูกันว่า ‘ฟอกสีฟันคืออะไร’ และมันทำงานอย่างไรกับผิวฟันของคุณ
ฟอกสีฟันคืออะไร? ทำงานอย่างไรกับผิวฟัน
“ฟอกสีฟัน” (Teeth Whitening) คือหัตถการทางทันตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยปรับสีฟันที่หม่นเหลืองให้กลับมาขาว กระจ่างใส และดูมีสุขภาพดีมากขึ้น โดยไม่ต้องกรอฟันหรือใส่สารเคลือบใด ๆ เหมือนกับการทำวีเนียร์ การฟอกสีฟันจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มคนที่ต้องการเสริมบุคลิกภาพ สร้างความมั่นใจให้กับรอยยิ้ม และดูดีขึ้นในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแม้แต่เวลาต้องออกกล้อง
ฟอกสีฟันทำงานอย่างไร?
หลักการทำงานของการฟอกสีฟันคือการใช้ สาร Whitening ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็น
- Hydrogen Peroxide
- Carbamide Peroxide
สารเหล่านี้จะซึมผ่านชั้นผิวฟัน (enamel) และเข้าไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่ฝังแน่นอยู่ในชั้นเนื้อฟัน (dentin) โดยจะไปสลายโมเลกุลของคราบหรือเม็ดสีที่ทำให้ฟันดูหม่น ทำให้ฟันขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
จุดสำคัญคือ: การฟอกสีฟันไม่ใช่แค่ล้างคราบภายนอกเหมือนการขูดหินปูนหรือขัดฟัน แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างระดับโมเลกุลของสีฟันโดยตรง → จึงสามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่าการทำความสะอาดทั่วไป
ประเภทของการฟอกสีฟัน
ฟอกสีฟันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
1. ฟอกสีฟันในคลินิก (In-office Whitening)
- ทำโดยทันตแพทย์
- ใช้สารฟอกสีความเข้มข้นสูง ร่วมกับเทคโนโลยีช่วยเร่ง เช่น แสงเย็น (Cool Light) หรือ เลเซอร์
- เห็นผลเร็วภายใน 1 ครั้ง (ใช้เวลาประมาณ 45–60 นาที)
- ควบคุมความปลอดภัยได้สูง ไม่เสี่ยงต่ออาการข้างเคียงรุนแรง
2. ฟอกสีฟันที่บ้าน (Home Whitening)
- ใช้ถาดฟอกสีฟันที่ทันตแพทย์ทำขึ้นเฉพาะบุคคล
- ใส่น้ำยาในถาดแล้วใส่ไว้ตามเวลาที่กำหนด (วันละ 1–2 ชั่วโมง)
- ต้องใช้ต่อเนื่อง 7–14 วัน ถึงจะเห็นผล
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟันขาวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ฟอกสีฟันช่วยอะไร?
- ขจัดคราบเหลืองจากกาแฟ ชา ไวน์ หรือบุหรี่
- แก้ปัญหาฟันหม่นจากอายุที่เพิ่มขึ้น
- เสริมบุคลิกภาพ และความมั่นใจในรอยยิ้ม
- ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสว่างสดใสมากขึ้น
เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงหลักการและกระบวนการของการฟอกสีฟันแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิจารณาว่าความปลอดภัยของการฟอกสีฟันขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
ฟอกสีฟันปลอดภัยไหม? ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
“ฟอกสีฟันปลอดภัยหรือเปล่า?”
“จะทำให้ฟันบางลงไหม?”
“ฟอกแล้วเสียวฟันไปตลอดเลยจริงหรือ?”
คำถามเหล่านี้คือความกังวลที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มคนที่อยากฟันขาวขึ้นอย่างมั่นใจ แต่ยังลังเลเพราะกลัวผลข้างเคียง ความจริงก็คือ การฟอกสีฟัน สามารถปลอดภัยได้ 100% หากคุณทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด และมีการประเมินสุขภาพช่องปากของคุณก่อนเริ่มการรักษาอย่างถูกต้อง
แม้ว่าการฟอกสีฟันจะดูเป็นหัตถการง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่ก็เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ "โครงสร้างของผิวฟัน" โดยตรง หากใช้ผลิตภัณฑ์ผิดวิธี หรือสารที่มีความเข้มข้นสูงเกินไปโดยไม่มีการควบคุม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ฟันไวต่อความเย็น เหงือกแสบ เคลือบฟันบางลง หรือในบางรายอาจเกิดการระคายเคืองระยะยาวที่ต้องรักษาต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความปลอดภัย” ของการฟอกสีฟัน
1. ความเข้มข้นของสารฟอกสี
สารที่นิยมใช้ในการฟอกสีฟัน เช่น Hydrogen Peroxide และ Carbamide Peroxide จะเข้าไปสลายเม็ดสีในชั้นผิวฟัน ช่วยให้ฟันดูขาวกระจ่างขึ้น หากใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสมตามมาตรฐาน อย. หรือ ADA (American Dental Association) จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย
แต่หากใช้สารฟอกสีความเข้มข้นสูงเกินควร เช่น ในชุดฟอกฟันที่ไม่ได้รับการรับรอง อาจเสี่ยงทำให้
- ฟันไวต่ออุณหภูมิ
- เหงือกระคายเคือง
- เคลือบฟันบางลง
ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสม และควบคุมปริมาณสารให้สอดคล้องกับสภาพฟันของคุณอย่างแม่นยำ
2. สุขภาพฟันและเหงือกของแต่ละบุคคล
ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับการฟอกสีฟันในทุกช่วงเวลา หากคุณมีภาวะฟันสึก เหงือกอักเสบ รากฟันโผล่ หรือเป็นโรคปริทันต์ ฟอกสีฟันอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเสียวฟันอย่างรุนแรง หรือมีผลกระทบกับเนื้อเยื่อโดยรอบ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า “การประเมินช่องปากก่อนทำ” เป็นขั้นตอนสำคัญมาก เพราะทันตแพทย์จะสามารถแนะนำได้ว่า คุณควรฟอกฟันตอนนี้ไหม หรือควรรักษาปัญหาอื่นก่อน
3. ทำกับใคร และทำที่ไหน
การฟอกสีฟันอย่างปลอดภัยควรทำในคลินิกที่มี ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่การซื้อผลิตภัณฑ์มาทำเอง หรือเข้ารับบริการกับแหล่งที่ไม่มีใบอนุญาต
ฟอกสีฟันในคลินิกที่เชื่อถือได้จะมี
- การป้องกันเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนด้วยวัสดุเฉพาะ
- การควบคุมปริมาณสารฟอกให้เหมาะสม
- การใช้เทคโนโลยีช่วยเร่ง เช่น แสงเย็น (Cool Light) ที่ไม่สร้างความร้อนสะสมในเนื้อฟัน
- คำแนะนำเฉพาะบุคคลสำหรับดูแลหลังการฟอก
การ DIY โดยไม่มีความรู้ อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการใช้สารผิดขนาด หรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม → ส่งผลให้ฟันเสียมากกว่าขาวได้จริง
4. การดูแลหลังฟอกฟัน
แม้การฟอกสีฟันจะใช้เวลาทำไม่นาน แต่ “ผลลัพธ์” และ “ความปลอดภัยระยะยาว” ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำด้วย
ทันตแพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นสีฟันใหม่ในช่วง 24–72 ชั่วโมงแรก เช่น
- ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- อาหารที่มีสีเข้ม (แกงกะหรี่ ซอสถั่วเหลือง)
- บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์
- ของเปรี้ยวจัดหรือร้อนจัดที่กระตุ้นความไวฟัน
หากดูแลตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ฟันขาวคงอยู่ได้นานขึ้น และลดความเสี่ยงต่ออาการเสียวฟันได้ดีมาก
ฟอกสีฟันกับคลินิกที่เชี่ยวชาญ = ความมั่นใจที่ปลอดภัยกว่า
หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่สามารถให้บริการฟอกสีฟันได้อย่างปลอดภัย มีขั้นตอนชัดเจน และใช้เทคโนโลยีที่ไม่ทำร้ายฟัน Anytooth คือทางเลือกที่ตอบโจทย์
เพราะที่ Anytooth คุณจะได้รับ:
- การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียดก่อนเริ่ม
- การฟอกด้วย เทคโนโลยีแสงเย็น (Cool Light) ที่ไม่ทำให้ฟันร้อนหรือไวต่อการกระตุ้น
- วัสดุฟอกสีฟันที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน (ปลอดภัยกับเคลือบฟันและเหงือก)
- คำแนะนำการดูแลเฉพาะบุคคลตามลักษณะฟันของคุณ
- ทีมทันตแพทย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังทำ
จากการตรวจสอบปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของการฟอกสีฟันแล้ว สิ่งที่หลายคนอาจสงสัยต่อไปคือ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการฟอกสีฟันมีอะไรบ้าง
ฟอกสีฟันแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรไหม?
หลังฟอกสีฟัน หลายคนอาจจะเริ่มกังวลว่า “จะเกิดผลข้างเคียงหรือไม่?” โดยเฉพาะผู้ที่ฟันเคยมีปัญหาเสียวมาก่อน หรือเคยได้ยินคนอื่นเล่าประสบการณ์ว่าฟันไวขึ้น กินอะไรเย็น ๆ แล้วจี๊ด หรือแปรงฟันแล้วรู้สึกสะดุ้งมากขึ้น
ความจริงก็คือ การฟอกสีฟันมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว ไม่อันตราย และสามารถหายได้ภายใน 1–3 วัน หากได้รับการฟอกอย่างถูกวิธีและได้รับการดูแลจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการข้างเคียงที่อาจพบหลังฟอกสีฟัน
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ฟันไวต่อความเย็น หรือร้อนกว่าปกติ บางคนอาจรู้สึกเสียวเล็กน้อยขณะดื่มน้ำเย็น กาแฟ หรือแม้แต่ตอนหายใจผ่านปาก แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะอาการนี้เกิดจากการที่สารฟอกสีแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิวฟันแล้วไปกระตุ้นปลายประสาทชั่วคราว ซึ่งไม่ส่งผลให้ฟันเสียหายแต่อย่างใด
อีกอาการที่อาจพบได้เช่นกันคือ เหงือกระคายเคือง หรือรู้สึกแสบเล็กน้อยบริเวณขอบเหงือก ซึ่งมักเกิดจากการสัมผัสของสารฟอกสีในระหว่างทำหัตถการ โดยเฉพาะในเคสที่ไม่มีการป้องกันเหงือกอย่างถูกวิธี แต่หากทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะมีการใช้วัสดุป้องกันเหงือกก่อนเริ่มทุกครั้ง อาการเหล่านี้จึงพบได้น้อยมาก และถ้าเกิดขึ้นก็จะหายได้เองภายในเวลาไม่นาน
ในบางกรณีที่หายากมาก ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดฟันในจุดใดจุดหนึ่งหลังการฟอก นั่นมักมาจากรอยร้าวหรือฟันผุที่มีอยู่แล้วแต่ไม่รู้ตัว ซึ่งยืนยันถึงความสำคัญของ “การตรวจเช็กสุขภาพช่องปากล่วงหน้า” โดยทันตแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้อนที่อาจกลายเป็นเคสเร่งด่วนในภายหลัง
หลังจากที่เราได้กล่าวถึงผลข้างเคียงและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นแล้ว คำถามที่สำคัญคือ ควรเลือกคลินิกฟอกสีฟันที่ไหนเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ฟอกสีฟันที่ไหนดี? มาตรฐานความปลอดภัยที่คุณควรมองหา
ที่เรียบเรียงให้มีความยาวมากขึ้น มีความรู้เชิงวิชาการแบบเข้าใจง่าย และคงสไตล์บทความอ่านลื่นไหล พร้อมช่วยเสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของคลินิกแบบมืออาชีพครับ
การเลือกคลินิกฟอกสีฟันไม่ใช่แค่ดูจากราคาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ควรดูจาก “มาตรฐานการรักษา” และ “ความใส่ใจในความปลอดภัยของผู้รับบริการ” เป็นหลัก เพราะแม้การฟอกสีฟันจะดูเหมือนหัตถการเล็ก ๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่หากทำผิดวิธีหรือใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากได้มากกว่าที่คิด
สิ่งที่ “คลินิกฟอกสีฟันที่ดี” ควรมี
1. มีการวินิจฉัยสุขภาพฟันก่อนเริ่มทุกเคส
ก่อนทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์ควรตรวจสอบสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นภาวะฟันผุ ฟันสึก เหงือกอักเสบ หรือปัญหาเนื้อเยื่ออ่อนอื่น ๆ ที่อาจทำให้การฟอกสีฟันไม่ปลอดภัย เพราะการทำโดยไม่วินิจฉัยล่วงหน้าอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันมาก หรือเหงือกระคายเคืองได้
หากคุณไปคลินิกที่เริ่มฟอกสีฟันทันทีโดยไม่มีการตรวจใด ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้เท่าที่ควร
2. มีอุปกรณ์ป้องกันเนื้อเยื่ออ่อนขณะทำการฟอก
ในการฟอกสีฟันโดยใช้สารฟอกที่มีความเข้มข้นสูง หากไม่มีการป้องกันบริเวณเหงือกและริมฝีปาก สารอาจไหลไปสัมผัสเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการแสบหรือไหม้เล็กน้อยได้ ดังนั้น คลินิกที่มีมาตรฐานจะใช้วัสดุป้องกันเหงือก (Gingival Barrier) เพื่อเคลือบเนื้อเยื่ออ่อน และกันไม่ให้สารฟอกซึมออกนอกบริเวณที่ควรอยู่
นอกจากนี้ คลินิกควรมีการป้องกันการระคายเคืองตาและผิวหนังระหว่างการฉายแสง เช่น แว่นตากันแสงสำหรับคนไข้ และอุปกรณ์ครอบปากเฉพาะที่ช่วยให้สารสัมผัสกับผิวฟันได้เต็มประสิทธิภาพแต่ไม่เลอะส่วนอื่น
3. มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสารฟอกสีฟัน
คลินิกที่มีมาตรฐานควรแจ้งรายละเอียดของสารฟอกสีฟันที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นชนิด ความเข้มข้น หรือแหล่งผลิต เพื่อให้คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่าสารที่ใช้มีความปลอดภัย และผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. (ประเทศไทย) หรือ ADA (สหรัฐอเมริกา)
รวมถึงควรอธิบายให้ผู้รับบริการเข้าใจว่าทำไมจึงเลือกใช้สารชนิดนั้น และจะมีผลอย่างไรกับเฉดฟัน รวมถึงแจ้งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส เพื่อให้คนไข้ได้ตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วน
4. มีการให้คำแนะนำหลังทำ และติดตามผลอย่างใกล้ชิด
หลังการฟอกสีฟัน คลินิกควรมีการแนะนำแนวทางการดูแลฟันอย่างละเอียด เช่น
- ควรงดอาหารหรือเครื่องดื่มสีเข้มในช่วง 48–72 ชั่วโมง
- ใช้ยาสีฟันสำหรับคนฟันไวชั่วคราว
- หลีกเลี่ยงของร้อน/เย็นจัดในช่วงวันแรก ๆ
และที่สำคัญคือควรมีช่องทางให้ติดต่อกลับ หากมีอาการเสียวฟันมากผิดปกติ หรือมีความไม่สบายใจหลังฟอกสีฟัน ซึ่งแสดงถึงความใส่ใจและการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังทำ
เมื่อคุณได้รู้ว่าคลินิกฟอกสีฟันที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรแล้ว ต่อไปมาทำความรู้จักกับ Anytooth ซึ่งเป็นหนึ่งในคลินิกที่ได้รับความเชื่อถือในด้านการฟอกสีฟัน
ทำไมควรฟอกสีฟันกับ Anytooth
เมื่อพูดถึง “ฟอกสีฟัน” หลายคนอาจมองว่าเป็นหัตถการง่าย ๆ ที่ทำที่ไหนก็ได้ แค่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็จบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฟอกสีฟันที่ดีนั้นต้องมากกว่าการแค่ “ฟันขาวขึ้น” เพราะความปลอดภัยของเนื้อฟัน เหงือก และผลลัพธ์ในระยะยาวล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม การเลือกคลินิกที่เชี่ยวชาญ และมีมาตรฐานสูงจึงสำคัญ และ Anytooth คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครที่กำลังมองหาการฟอกสีฟันที่ทั้ง “ปลอดภัย เห็นผล และดูแลคุณได้ครบทุกขั้นตอน”
จุดเด่นที่ทำให้ Anytooth แตกต่างและน่าเชื่อถือ
1. ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยีแสงเย็น (Cool Light Whitening)
ที่ Anytooth เราเลือกใช้เทคโนโลยีแสงเย็นซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในวงการทันตกรรมว่าช่วยลดอาการเสียวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่สร้างความร้อนสะสมในชั้นผิวฟัน ต่างจากการฟอกด้วยแสงร้อนหรือเลเซอร์ทั่วไปที่อาจกระตุ้นปลายประสาทของฟันโดยไม่รู้ตัว
เทคโนโลยีแสงเย็นยังช่วยเร่งปฏิกิริยาของสารฟอกสีให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเวลาอันสั้น โดยไม่ทำร้ายโครงสร้างของฟันแม้แต่น้อย
2. มีทันตแพทย์ตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนทุกเคส
เราไม่เคยเริ่มการฟอกสีฟันโดยไม่ตรวจเช็กช่องปากของคุณก่อน เพราะแต่ละคนมีลักษณะของฟัน เหงือก และปัญหาเฉพาะตัวที่ต่างกันไป
เช่น:
- ฟันที่มีรอยสึก รากฟันโผล่ หรือเหงือกอักเสบ อาจต้องเลื่อนการฟอกไปก่อน
- หรืออาจต้องปรับแผนการฟอกให้เหมาะกับเฉดฟันและสภาพฟันของคุณ
ทีมทันตแพทย์ของ Anytooth จะให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมั่นใจในผลลัพธ์และไม่มีข้อสงสัย
3. ใช้วัสดุฟอกสีฟันคุณภาพสูงจากต่างประเทศ
Anytooth ใช้เฉพาะ ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันที่ได้รับการรับรองจาก อย. และนำเข้าจากแบรนด์ชั้นนำในยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีความปลอดภัยสูง
- สารฟอกสีที่ใช้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำลายเคลือบฟัน
- มีสูตรเฉพาะที่ช่วยลดการระคายเคืองเหงือก
- ให้ผลลัพธ์ฟันขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขาวลอย หรือขาวเว่อร์
นอกจากนี้ เรายังมีระบบ Shade Guide ให้คุณดูเฉดสีฟันก่อนและหลังการทำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนแบบ “ก่อน–หลัง” และวางแผนความขาวในระดับที่คุณต้องการได้จริง
4. ให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล และดูแลอย่างใกล้ชิด
หลังการฟอกสีฟัน เราไม่ได้ปล่อยให้คุณกลับบ้านไปโดยไม่มีคำแนะนำ เพราะเราเชื่อว่าการดูแลหลังทำ คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
- เราจะแนะนำสิ่งที่ควรเลี่ยง เช่น ชา กาแฟ ไวน์ อาหารสีเข้ม
- แจ้งวิธีการแปรงฟันที่เหมาะสม
- แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลฟันหลังการฟอกโดยเฉพาะ เช่น ยาสีฟันลดเสียวฟัน หรือมูสเคลือบฟัน
นอกจากนี้เรายังมีช่องทางติดตามผล เช่น LINE Official หรือโทรสอบถามอาการได้ตลอดหากคุณรู้สึกไม่แน่ใจ