หลายคนอยากมีฟันขาวสะอาดดูสุขภาพดี อาจรู้สึกลังเลเมื่อต้องตัดสินใจฟอกสีฟัน เพราะมีคำถามคาใจตามมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็น “อยากฟันขาวแต่กลัวอันตรายใช่ไหม?” “ฟอกสีฟันจะทำให้ฟันบางลงหรือเปล่า?” หรือ “ได้ยินมาว่าทำแล้วเสียวฟัน จริงไหม?” เหล่านี้เป็นความกังวลที่พบได้บ่อย และเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนยังไม่กล้าลอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการฟอกสีฟันเป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากดำเนินการโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
การฟอกสีฟันไม่ได้ทำให้ฟันเสียหายหรือลดความแข็งแรงลงอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่หากเลือกใช้สารฟอกที่ไม่ได้รับการรับรอง หรือทำด้วยตนเองโดยไม่มีคำแนะนำ อาจเสี่ยงต่ออาการฟันไวต่อความเย็น เหงือกระคายเคือง หรือสีฟันไม่สม่ำเสมอได้ ดังนั้น การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ
บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการฟอกสีฟัน ทั้งในแง่ความปลอดภัย ผลลัพธ์ และการดูแลหลังทำพร้อมแนะนำแนวทางในการเลือกคลินิกที่ไว้ใจได้ เช่น Anytooth ที่ให้บริการฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยีแสงเย็น ไม่ทำให้ฟันบางพร้อมการดูแลโดยทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน
ฟอกสีฟันคืออะไร? ทำงานอย่างไรกับผิวฟัน
“ฟอกสีฟัน” (Teeth Whitening) คือหัตถการทางทันตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยปรับสีฟันที่หม่นเหลืองให้กลับมาขาว กระจ่างใส และดูมีสุขภาพดีมากขึ้น โดยไม่ต้องกรอฟันหรือใส่สารเคลือบใด ๆ เหมือนกับการทำวีเนียร์ การฟอกสีฟันจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มคนที่ต้องการเสริมบุคลิกภาพ สร้างความมั่นใจให้กับรอยยิ้ม และดูดีขึ้นในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแม้แต่เวลาต้องออกกล้อง
ฟอกสีฟันทำงานอย่างไร?
หลักการทำงานของการฟอกสีฟันคือการใช้ สาร Whitening ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็น
- Hydrogen Peroxide: เป็นสารฟอกสีฟันที่ออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับการฟอกสีฟันในคลินิก เพราะสามารถให้ผลลัพธ์ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
- Carbamide Peroxide: เป็นสารฟอกสีที่ปลดปล่อย Hydrogen Peroxide อย่างช้า ๆ จึงมักใช้ในชุดฟอกสีฟันที่บ้าน ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
ทั้งสองชนิดจัดว่าเป็นสารฟอกสีที่ปลอดภัย หากใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสม และอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ โดยสารเหล่านี้จะซึมผ่านชั้นผิวฟัน (enamel) และเข้าไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่ฝังแน่นอยู่ในชั้นเนื้อฟัน (dentin) โดยจะไปสลายโมเลกุลของคราบหรือเม็ดสีที่ทำให้ฟันดูหม่น ทำให้ฟันขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อควรรู้: การฟอกสีฟันไม่ใช่แค่ล้างคราบภายนอกเหมือนการขูดหินปูนหรือขัดฟัน แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างระดับโมเลกุลของสีฟันโดยตรง จึงสามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานกว่าการทำความสะอาดทั่วไป
ประเภทของการฟอกสีฟัน
ฟอกสีฟันสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. ฟอกสีฟันในคลินิก (In-office Whitening)
- ทำโดยทันตแพทย์
- ใช้สารฟอกสีความเข้มข้นสูง ร่วมกับเทคโนโลยีช่วยเร่ง เช่น แสงเย็น (Cool Light) หรือ เลเซอร์
- เห็นผลเร็วภายใน 1 ครั้ง (ใช้เวลาประมาณ 45–60 นาที)
- ควบคุมความปลอดภัยได้สูง ไม่เสี่ยงต่ออาการข้างเคียงรุนแรง
2. ฟอกสีฟันที่บ้าน (Home Whitening)
- ใช้ถาดฟอกสีฟันที่ทันตแพทย์ทำขึ้นเฉพาะบุคคล
- ใส่น้ำยาในถาดแล้วใส่ไว้ตามเวลาที่กำหนด (วันละ 1–2 ชั่วโมง)
- ต้องใช้ต่อเนื่อง 7–14 วัน ถึงจะเห็นผล
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟันขาวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ฟอกสีฟันช่วยอะไร?
- ขจัดคราบเหลืองจากกาแฟ ชา ไวน์ หรือบุหรี่
- แก้ปัญหาฟันหม่นจากอายุที่เพิ่มขึ้น
- เสริมบุคลิกภาพ และความมั่นใจในรอยยิ้ม
- ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสว่างสดใสมากขึ้น
แม้ว่าการฟอกสีฟันจะดูเหมือนเป็นหัตถการเล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับชั้นโครงสร้างของฟันโดยตรง หากใช้สารฟอกสีผิดประเภท หรือมีความเข้มข้นเกินกำหนดโดยไม่มีการควบคุม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ฟันไวต่อความเย็น เหงือกระคายเคือง หรือแม้แต่การบางตัวของชั้นเคลือบฟัน เพื่อให้คุณมั่นใจในการตัดสินใจ ขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจว่า อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของการฟอกสีฟัน

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความปลอดภัย” ของการฟอกสีฟัน
1. ความเข้มข้นของสารฟอกสี
สารที่นิยมใช้ในการฟอกสีฟัน เช่น Hydrogen Peroxide และ Carbamide Peroxide จะเข้าไปสลายเม็ดสีในชั้นผิวฟัน ช่วยให้ฟันดูขาวกระจ่างขึ้น หากใช้ในความเข้มข้นที่เหมาะสมตามมาตรฐาน อย. หรือ ADA (American Dental Association) จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย แต่หากใช้สารฟอกสีความเข้มข้นสูงเกินควร เช่น ในชุดฟอกฟันที่ไม่ได้รับการรับรอง อาจเสี่ยงทำให้เกิดข้อเสียตามมา เช่น
- ฟันไวต่ออุณหภูมิ
- เหงือกระคายเคือง
- เคลือบฟันบางลง
ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสม และควบคุมปริมาณสารให้สอดคล้องกับสภาพฟันของคุณอย่างแม่นยำ
2. สุขภาพฟันและเหงือกของแต่ละบุคคล
ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับการฟอกสีฟันในทุกช่วงเวลา หากคุณมีภาวะฟันสึก เหงือกอักเสบ รากฟันโผล่ หรือเป็นโรคปริทันต์ ฟอกสีฟันอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเสียวฟันอย่างรุนแรง หรือมีผลกระทบกับเนื้อเยื่อโดยรอบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า “การประเมินช่องปากก่อนทำ” เป็นขั้นตอนสำคัญมาก เพราะทันตแพทย์จะสามารถแนะนำได้ว่า คุณควรฟอกฟันตอนนี้ไหม หรือควรรักษาปัญหาอื่นก่อน
3. ทำกับใคร และทำที่ไหน
การฟอกสีฟันอย่างปลอดภัยควรทำในคลินิกที่มี ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่การซื้อผลิตภัณฑ์มาทำเองจากร้านที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเข้ารับบริการกับแหล่งที่ไม่มีใบอนุญาต ฟอกสีฟันในคลินิกที่เชื่อถือได้จะมี
- การป้องกันเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนด้วยวัสดุเฉพาะ
- การควบคุมปริมาณสารฟอกให้เหมาะสม
- การใช้เทคโนโลยีช่วยเร่ง เช่น แสงเย็น (Cool Light) ที่ไม่สร้างความร้อนสะสมในเนื้อฟัน
- คำแนะนำเฉพาะบุคคลสำหรับดูแลหลังการฟอก
การฟอกสีฟันโดยไม่มีความรู้ อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการใช้สารผิดขนาด หรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ส่งผลให้ฟันเสียมากกว่าขาวได้จริง
4. การดูแลหลังฟอกฟัน
แม้การฟอกสีฟันจะใช้เวลาทำไม่นาน แต่ผลลัพธ์ และความปลอดภัยระยะยาว ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำ ทันตแพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นสีฟันใหม่ในช่วง 24–72 ชั่วโมงแรก เช่น
- ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- อาหารที่มีสีเข้ม (แกงกะหรี่ ซอสถั่วเหลือง)
- บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์
- ของเปรี้ยวจัดหรือร้อนจัดที่กระตุ้นความไวฟัน
หากดูแลตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ฟันขาวคงอยู่ได้นานขึ้น และลดความเสี่ยงต่ออาการเสียวฟันได้ดี
ฟอกสีฟันกับคลินิกที่เชี่ยวชาญ = ความมั่นใจที่ปลอดภัยกว่า
หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่สามารถให้บริการฟอกสีฟันได้อย่างปลอดภัย มีขั้นตอนชัดเจน และใช้เทคโนโลยีที่ไม่ทำร้ายฟัน Anytooth คือทางออกที่ช่วยคุณได้
ที่ Anytooth คุณจะได้รับ:
- การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียดก่อนเริ่ม
- การฟอกด้วย เทคโนโลยีแสงเย็น (Cool Light) ที่ไม่ทำให้ฟันร้อนหรือไวต่อการกระตุ้น
- วัสดุฟอกสีฟันที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน (ปลอดภัยกับเคลือบฟันและเหงือก)
- คำแนะนำการดูแลเฉพาะบุคคลตามลักษณะฟันของคุณ
- ทีมทันตแพทย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังทำ
จากการตรวจสอบปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของการฟอกสีฟันแล้ว สิ่งที่หลายคนอาจสงสัยต่อไปคือ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการฟอกสีฟันมีอะไรบ้าง ฟอกสีฟันแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรไหม? โดยเฉพาะผู้ที่ฟันเคยมีปัญหาเสียวมาก่อน หรือเคยได้ยินคนอื่นเล่าประสบการณ์ว่าฟันไวขึ้น กินอะไรเย็น ๆ แล้วจี๊ด หรือแปรงฟันแล้วรู้สึกสะดุ้งมากขึ้น ความจริงแล้วการฟอกสีฟันมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว ไม่อันตราย และสามารถหายได้ภายใน 1–3 วัน หากได้รับการฟอกอย่างถูกวิธีและได้รับการดูแลจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการข้างเคียงที่อาจพบหลังฟอกสีฟัน
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือฟันไวต่อความเย็น หรือร้อนกว่าปกติ บางคนอาจรู้สึกเสียวเล็กน้อยขณะดื่มน้ำเย็น กาแฟ หรือแม้แต่ตอนหายใจผ่านปาก แต่ไม่ต้องตกใจไปเพราะอาการนี้เกิดจากการที่สารฟอกสีแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิวฟันแล้วไปกระตุ้นปลายประสาทชั่วคราว ซึ่งไม่ส่งผลให้ฟันเสียหายแต่อย่างใด
อีกอาการที่อาจพบได้เช่นกันคือ เหงือกระคายเคือง หรือรู้สึกแสบเล็กน้อยบริเวณขอบเหงือก ซึ่งมักเกิดจากการสัมผัสของสารฟอกสีในระหว่างทำหัตถการ โดยเฉพาะในเคสที่ไม่มีการป้องกันเหงือกอย่างถูกวิธี แต่หากทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะมีการใช้วัสดุป้องกันเหงือกก่อนเริ่มทุกครั้ง อาการเหล่านี้จึงพบได้น้อยมาก ถ้าเกิดขึ้นก็จะหายได้เองภายในเวลาไม่นาน
ในบางกรณีที่หายากมาก ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดฟันในจุดใดจุดหนึ่งหลังการฟอก นั่นมักมาจากรอยร้าวหรือฟันผุที่มีอยู่แล้วแต่ไม่รู้ตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ “การตรวจเช็กสุขภาพช่องปากล่วงหน้า” โดยทันตแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้อนที่อาจกลายเป็นเคสเร่งด่วนในภายหลัง
การเลือกคลินิกฟอกสีฟันไม่ใช่แค่ดูจากราคาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ควรดูจากมาตรฐานการรักษา และความใส่ใจในความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นหลัก เพราะแม้การฟอกสีฟันจะดูเหมือนหัตถการเล็ก ๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่หากทำผิดวิธีหรือใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากได้มากกว่าที่คิด
วิธีเช็กความน่าเชื่อถือของคลินิกฟอกสีฟัน
1. มีการวินิจฉัยสุขภาพฟันก่อนเริ่มทุกเคส
ก่อนทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์ควรตรวจสอบสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นภาวะฟันผุ ฟันสึก เหงือกอักเสบ หรือปัญหาเนื้อเยื่ออ่อนอื่น ๆ ที่อาจทำให้การฟอกสีฟันไม่ปลอดภัย เพราะการทำโดยไม่วินิจฉัยล่วงหน้าอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันมาก หรือเหงือกระคายเคืองได้ หากคุณไปคลินิกที่เริ่มฟอกสีฟันทันทีโดยไม่มีการตรวจใด ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้เท่าที่ควร
2. มีอุปกรณ์ป้องกันเนื้อเยื่ออ่อนขณะทำการฟอก
ในการฟอกสีฟันโดยใช้สารฟอกที่มีความเข้มข้นสูง หากไม่มีการป้องกันบริเวณเหงือกและริมฝีปาก สารอาจไหลไปสัมผัสเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการแสบหรือไหม้เล็กน้อยได้ ดังนั้น คลินิกที่มีมาตรฐานจะใช้วัสดุป้องกันเหงือก (Gingival Barrier) เพื่อเคลือบเนื้อเยื่ออ่อน และกันไม่ให้สารฟอกซึมออกนอกบริเวณที่ควรอยู่
นอกจากนี้ คลินิกควรมีการป้องกันการระคายเคืองตาและผิวหนังระหว่างการฉายแสง เช่น แว่นตากันแสงสำหรับคนไข้ และอุปกรณ์ครอบปากเฉพาะที่ช่วยให้สารสัมผัสกับผิวฟันได้เต็มประสิทธิภาพแต่ไม่เลอะส่วนอื่น
3. มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสารฟอกสีฟัน
คลินิกที่มีมาตรฐานควรแจ้งรายละเอียดของสารฟอกสีฟันที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นชนิด ความเข้มข้น หรือแหล่งผลิต เพื่อให้คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่าสารที่ใช้มีความปลอดภัย และผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. (ประเทศไทย) หรือ ADA (สหรัฐอเมริกา) รวมถึงควรอธิบายให้ผู้รับบริการเข้าใจว่าทำไมจึงเลือกใช้สารชนิดนั้น และจะมีผลอย่างไรกับเฉดฟัน รวมถึงแจ้งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างโปร่งใส เพื่อให้คนไข้ได้ตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วน
4. มีการให้คำแนะนำหลังทำ และติดตามผลอย่างใกล้ชิด
หลังการฟอกสีฟัน คลินิกควรมีการแนะนำแนวทางการดูแลฟันอย่างละเอียด เช่น
- ควรงดอาหารหรือเครื่องดื่มสีเข้มในช่วง 48–72 ชั่วโมง
- ใช้ยาสีฟันสำหรับคนฟันไวชั่วคราว
- หลีกเลี่ยงของร้อน/เย็นจัดในช่วงวันแรก ๆ
ที่สำคัญคือควรมีช่องทางให้ติดต่อกลับ หากมีอาการเสียวฟันมากผิดปกติ หรือมีความไม่สบายใจหลังฟอกสีฟัน ซึ่งแสดงถึงความใส่ใจและการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังทำ
ฟอกสีฟันกับ Anytooth ดีอย่างไร?
เมื่อพูดถึงการฟอกสีฟัน หลายคนอาจมองว่าเป็นหัตถการง่าย ๆ ที่ทำที่ไหนก็ได้ แค่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็จบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฟอกสีฟันที่ดีนั้นต้องมากกว่าการแค่ฟันขาวขึ้น เพราะความปลอดภัยของเนื้อฟัน เหงือก และผลลัพธ์ในระยะยาวล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม การเลือกคลินิกที่เชี่ยวชาญ และมีมาตรฐานสูงจึงสำคัญ และ Anytooth คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการฟอกสีฟันที่ทั้ง “ปลอดภัย เห็นผล และดูแลคุณได้ครบทุกขั้นตอน”
จุดเด่นที่ทำให้ Anytooth แตกต่างและน่าเชื่อถือ
1. ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยีแสงเย็น (Cool Light Whitening)
Anytooth เราเลือกใช้เทคโนโลยีแสงเย็นซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในวงการทันตกรรมว่าช่วยลดอาการเสียวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่สร้างความร้อนสะสมในชั้นผิวฟัน ต่างจากการฟอกด้วยแสงร้อนหรือเลเซอร์ทั่วไปที่อาจกระตุ้นปลายประสาทของฟันโดยไม่รู้ตัว เทคโนโลยีแสงเย็นยังช่วยเร่งปฏิกิริยาของสารฟอกสีให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเวลาอันสั้น โดยไม่ทำร้ายโครงสร้างของฟันแม้แต่น้อย
2. มีทันตแพทย์ตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนทุกเคส
เราเริ่มการฟอกสีฟันโดยตรวจเช็กช่องปากของคุณก่อนทุกครั้ง เพราะแต่ละคนมีลักษณะของฟัน เหงือก และปัญหาเฉพาะตัวที่ต่างกันไป เช่น
- ฟันที่มีรอยสึก รากฟันโผล่ หรือเหงือกอักเสบ อาจต้องเลื่อนการฟอกไปก่อน
- หรืออาจต้องปรับแผนการฟอกให้เหมาะกับเฉดฟันและสภาพฟันของคุณ
ทีมทันตแพทย์ของ Anytooth จะให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมั่นใจในผลลัพธ์โดยไม่มีข้อสงสัย
3. ใช้วัสดุฟอกสีฟันคุณภาพสูงจากต่างประเทศ
Anytooth ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันที่ได้รับการรับรองจาก อย. และนำเข้าจากแบรนด์ชั้นนำในยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีความปลอดภัยสูง
- สารฟอกสีที่ใช้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำลายเคลือบฟัน
- มีสูตรเฉพาะที่ช่วยลดการระคายเคืองเหงือก
- ให้ผลลัพธ์ฟันขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขาวลอย หรือขาวเว่อร์
นอกจากนี้ เรายังมีระบบ Shade Guide ให้คุณดูเฉดสีฟันก่อนและหลังการทำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนแบบ “ก่อน–หลัง” และวางแผนความขาวในระดับที่คุณต้องการได้จริง
4. ให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล และดูแลอย่างใกล้ชิด
หลังการฟอกสีฟัน เราไม่ได้ปล่อยให้คุณกลับบ้านไปโดยไม่มีคำแนะนำ เพราะเราเชื่อว่าการดูแลหลังทำ คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
- เราจะแนะนำสิ่งที่ควรเลี่ยง เช่น ชา กาแฟ ไวน์ อาหารสีเข้ม
- แจ้งวิธีการแปรงฟันที่เหมาะสม
- แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลฟันหลังการฟอกโดยเฉพาะ เช่น ยาสีฟันลดเสียวฟัน หรือมูสเคลือบฟัน
นอกจากนี้เรายังมีช่องทางติดตามผล เช่น LINE Official หรือโทรสอบถามอาการได้ตลอดหากคุณรู้สึกกังวล
หากคุณต้องการฟอกสีฟันกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย Anytooth คืออีกทางเลือกที่คุณสามารถมั่นใจได้ว่าตลอดการรักษา คุณจะได้รับการบริการ และการดูแลที่ดีมีคุณภาพ จากทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อุ่นใจทุกครั้งที่ฟอกสีฟัน จองคิวปรึกษาได้ฟรี เพื่อพูดคุยกับทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด
คลิกเพื่อจองคิวปรึกษาทันตแพทย์
ติดตามข่าวสารคลินิกทำฟัน Anytooth ได้ที่นี่
ช่องทางการติดต่อ
Tel. 087-112-8888
Line ID: @anytooth