ขั้นตอนการทำฟันปลอมที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจทำ

การใส่ฟันปลอมไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่กลายเป็นทางออกสำคัญสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาสูญเสียฟัน ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการเคี้ยวอาหาร ออกเสียง และเสริมบุคลิกภาพอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุ โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุรุนแรง หรือการเสื่อมสภาพตามวัย การที่ฟันหลุดหรือถูกถอนไปโดยไม่มีการทดแทน อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากกว่าที่คิด

ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหารและระบบย่อย การสูญเสียฟันยังอาจทำให้เกิดการออกเสียงผิดเพี้ยน ใบหน้าเปลี่ยนรูป และความมั่นใจลดลง ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยการเลือกใช้ฟันปลอมอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการใช้งาน สุขภาพช่องปาก และภาพลักษณ์โดยรวม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของฟันปลอม เพื่อให้คุณเข้าใจในขั้นตอนการรักษามากขึ้น

ทำไมการทำฟันปลอมจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ?

เพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียฟัน การทำฟันปลอมเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม และได้รับการยอมรับทางทันตกรรมมาอย่างยาวนาน ฟันปลอมไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในช่องปากที่หายไป แต่ยังช่วยคืนความสามารถในการเคี้ยวอาหารให้กลับมาใกล้เคียงปกติ ช่วยปรับปรุงการออกเสียง และยังช่วยรักษารูปหน้าให้ดูสมดุลมากขึ้น

 

นอกจากนี้เทคโนโลยีด้านทันตกรรมมีการพัฒนาไปมาก ทำให้ฟันปลอมมีหลายรูปแบบ และมี คุณภาพดีขึ้น คุณสามารถเลือกได้ทั้งแบบฟันปลอมถอดได้ และฟันปลอมแบบติดแน่น ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและเหมาะกับสภาพช่องปากของแต่ละบุคคล การเลือกฟันปลอมที่เหมาะสมจึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของ ทันตแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ประเภทของฟันปลอมที่ต้องรู้ก่อนเลือกทำ

เมื่อพูดถึงการทำฟันปลอม หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับตนเอง ปัจจุบันฟันปลอมสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ ฟันปลอมถอดได้ (Removable Dentures) และฟันปลอมติดแน่น (Fixed Dentures) ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติ ข้อดี-ข้อเสีย และการดูแลที่แตกต่างกัน ก่อนตัดสินใจทำ คุณควรเข้าใจรายละเอียดของแต่ละประเภทให้ชัดเจนเพื่อเป็นตัวเลือกในการรักษาให้เหมาะกับช่องปากของตนเอง

 

ฟันปลอมถอดได้ (Removable Dentures)

ฟันปลอมถอดได้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่หรือทั้งปาก เนื่องจากมีราคาที่ค่อนข้างประหยัด สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ง่ายด้วยตนเอง และไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัด

ฟันปลอมถอดได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. ฟันปลอมทั้งปาก เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันทั้งหมด ไม่เหลือฟันธรรมชาติเลย ฟันปลอมประเภทนี้ออกแบบให้พอดีกับเหงือกและขากรรไกร โดยใช้แรงดูดจากเหงือกเป็นหลักในการยึดให้อยู่กับที่

2. ฟันปลอมบางส่วน เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีฟันธรรมชาติหลงเหลืออยู่บางซี่ ฟันปลอมประเภทนี้มักมีโครงสร้างที่มีตะขอหรือคลิปโลหะเพื่อช่วยยึดติดกับฟันจริง ทำให้มั่นคงขึ้น

   

ฟันปลอมติดแน่น (Fixed Dentures)

ฟันปลอมติดแน่นเป็นตัวเลือกที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด ไม่ต้องถอดเข้าออกเหมือนฟันปลอมถอดได้ มีความแข็งแรงและมั่นคงสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลเรื่องฟันปลอมหลุด

 

ฟันปลอมติดแน่นมีให้เลือก 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. สะพานฟัน (Dental Bridge) เป็นการใช้ฟันปลอมที่ยึดติดกับฟันธรรมชาติซี่ข้างเคียง โดยทันตแพทย์จะกรอฟันข้างเคียงให้เล็กลงเพื่อใช้เป็นหลักยึดสะพานฟันในลำดับต่อไป

2. รากฟันเทียม (Dental Implant) เป็นวิธีที่มีความแข็งแรงและให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงฟันธรรมชาติมากที่สุด โดยการฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร จากนั้นจึงติดตั้งครอบฟันไว้ด้านบน ทำให้สามารถใช้งานได้เหมือนฟันจริง

ข้อดีข้อเสีย ฟันปลอมถอดได้ VS ฟันปลอมติดแน่น

ฟันปลอมถอดได้ (Removable Dentures)

ข้อดี

  • มีราคาถูกกว่าฟันปลอมติดแน่น
  • กระบวนการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน
  • สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ง่าย

ข้อเสีย

  • อาจรู้สึกไม่กระชับในช่วงแรก ต้องใช้เวลาปรับตัว
  • มีโอกาสเคลื่อนที่ขณะพูดหรือเคี้ยวอาหาร
  • ต้องดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากหากทำความสะอาดไม่ดี อาจเกิดการสะสมของเชื้อโรค

ฟันปลอมติดแน่น (Fixed Dentures)

ข้อดี

  • มีความมั่นคง แข็งแรง ไม่ต้องกังวลเรื่องฟันปลอมหลุด
  • ให้ความรู้สึกเหมือนฟันจริง สามารถเคี้ยวอาหารได้ดี
  • ดูแลรักษาเหมือนฟันธรรมชาติ ไม่ต้องถอดออก

 ข้อเสีย

  • มีราคาสูงกว่าฟันปลอมถอดได้
  • ใช้เวลาดำเนินการนานกว่า โดยเฉพาะรากฟันเทียมที่ต้องรอกระดูกขากรรไกรยึดติดกับรากเทียม
  • กรณีสะพานฟัน ต้องมีการกรอฟันข้างเคียง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพฟันธรรมชาติ

ควรเลือกฟันปลอมแบบไหนดี?

การเลือกฟันปลอมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

  • จำนวนฟันที่หายไป หากสูญเสียฟันทั้งปาก ฟันปลอมถอดได้อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่หากสูญเสียฟันเพียงไม่กี่ซี่ ฟันปลอมติดแน่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
  • งบประมาณ ฟันปลอมถอดได้มักมีราคาถูกกว่า ในขณะที่รากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูงแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ความสะดวกในการดูแล ฟันปลอมถอดได้ต้องถอดออกมาทำความสะอาดเป็นประจำ ส่วนฟันปลอมติดแน่นสามารถแปรงฟันตามปกติได้เลย

ขั้นตอนการทำฟันปลอม

 การทำฟันปลอม เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความละเอียดและความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ฟันปลอมที่ดีควรมีความกระชับ สวมใส่สบาย และสามารถใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งขั้นตอนในการทำฟันปลอมมีหลายขั้นตอนตั้งแต่การตรวจสุขภาพช่องปาก พิมพ์ฟัน ทดลองใส่ ไปจนถึงการติดตั้งและดูแลภายหลัง

 

1. ปรึกษาทันตแพทย์ (Consultation & Examination)

ก่อนเริ่มทำฟันปลอมจำเป็นต้องปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อทำการวางแผนการรักษา ไปจนถึงการดูแลหลังทำฟันปลอม และตรวจสุขภาพช่องปากของคนไข้โดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าฟันปลอมที่ต้องการทำนั้นเหมาะสมกับช่องปาก สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ตรวจสภาพฟันและกระดูกขากรรไกร: ทันตแพทย์จะตรวจสอบสภาพฟัน เหงือก และขากรรไกรของคนไข้ ว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขก่อนหรือไม่ เช่น โรคเหงือก การติดเชื้อหรือความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกรสำหรับการฝังรากฟันเทียม

  • ถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก: การเอกซเรย์เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิเคราะห์โครงสร้างของกระดูกขากรรไกรและฟันที่เหลืออยู่ ช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ และให้คุณเข้าใจในขั้นตอนการรักษาชัดเจน

  • วางแผนการทำฟันปลอมที่เหมาะสมกับคนไข้: หลังจากการตรวจ ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเภทของฟันปลอมที่เหมาะสมที่สุดกับคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นฟันปลอมถอดได้ หรือฟันปลอมแบบติดแน่น พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดของกระบวนการ ค่าใช้จ่าย และแนวทางการดูแล

 

2. พิมพ์ฟันและออกแบบฟันปลอม (Impression & Design)

หลังจากวางแผนการรักษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิมพ์ฟันเพื่อสร้างแบบจำลองของฟันปลอมให้เหมาะกับโครงสร้างช่องปากของคนไข้

  • การพิมพ์ฟันเพื่อสร้างแบบจำลอง: ทันตแพทย์จะใช้วัสดุพิมพ์ฟันพิเศษเพื่อทำแม่พิมพ์ของช่องปาก ซึ่งแม่พิมพ์นี้จะถูกนำไปใช้สร้างฟันปลอมที่มีความพอดีกับเหงือกและขากรรไกรของคนไข้

  • การเลือกวัสดุและสีของฟันปลอมให้เหมาะกับฟันจริง: ฟันปลอมมีวัสดุให้เลือกหลายประเภท เช่น อะคริลิก หรือเซรามิก ทันตแพทย์จะช่วยเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับฟันคนไข้ ทั้งในแง่ของความแข็งแรง ความสวยงาม ความใกล้เคียงของสีฟัน และงบประมาณที่ตั้งไว้

 

3. ทดลองใส่ฟันปลอม (Try-in Stage)

ก่อนจะผลิตฟันปลอม คนไข้จะต้องทดลองใส่โมเดลฟันปลอมเพื่อเช็กความพอดี และปรับแต่งให้เข้ากับช่องปาก ทันตแพทย์จะให้คนไข้ลองใส่ฟันปลอมต้นแบบ เพื่อดูว่าพอดีกับเหงือกและขากรรไกรหรือไม่ รวมถึงทดสอบการสบฟัน และความสะดวกในการพูดและเคี้ยวอาหารก่อนผลิตตัวจริง หากพบว่าฟันปลอมยังไม่พอดีหรือมีจุดที่ต้องแก้ไข ทันตแพทย์จะปรับแต่งจนกว่าฟันปลอมจะเข้ากับช่องปากของคนไข้มากที่สุด

 

4. ผลิตฟันปลอมและใส่ให้คนไข้ (Fabrication & Final Fitting)

 เมื่อผ่านการทดลองใส่แล้ว ฟันปลอมจะถูกผลิตขึ้นจากวัสดุที่เลือก และติดตั้งให้กับคนไข้ ช่างทันตกรรมจะใช้แบบจำลองที่ได้จากการพิมพ์ฟัน มาสร้างฟันปลอมโดยใช้วัสดุที่เลือกไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า จากนั้นจึงเริ่มติดตั้งและปรับแต่งฟันปลอมให้เข้ากับช่องปาก โดยทันตแพทย์จะติดตั้งฟันปลอมให้กับคนไข้ พร้อมทั้งตรวจสอบความกระชับและความสบายในการใช้งาน หากมีจุดที่ต้องแก้ไขจะทำการปรับแต่งให้เหมาะสม เพื่อให้คนไข้ได้ฟันปลอมที่เหมาะสมกับช่องปากมากที่สุด

 

นอกจากนี้ คุณยังต้องเข้าใจถึงวิธีการดูแลรักษาฟันปลอมหลังติดตั้งเสร็จ เพื่อยืดระยะการใช้งาน และป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการรักษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณ

 

วิธีดูแลฟันปลอมหลังทำเสร็จ

หลังจากที่คุณได้รับฟันปลอมแล้ว การดูแลรักษาให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟันปลอมมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นแต่ยังช่วยให้สุขภาพช่องปากของคุณอยู่ในสภาพที่ดี ป้องกันปัญหาต่าง ๆ เช่น การระคายเคือง เหงือกอักเสบ หรือการสะสมของคราบแบคทีเรีย ที่จะตามมาภายหลัง

 

ฟันปลอมแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็น ฟันปลอมถอดได้ หรือฟันปลอมแบบติดแน่น ต่างก็มีวิธีการดูแลที่แตกต่างกัน ดังนั้น การทำความสะอาด และการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสุขภาพฟันปลอมและสุขภาพของช่องปาก

 

1. วิธีทำความสะอาดฟันปลอม

ฟันปลอมแบบถอดได้: จำเป็นต้องทำความสะอาดเป็นประจำ เนื่องจากคราบอาหารและแบคทีเรียสามารถสะสมอยู่บนผิวฟันปลอมและเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปาก

 ขั้นตอนการทำความสะอาดฟันปลอมถอดได้

  1. ถอดฟันปลอมออกหลังรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันการสะสมของเศษอาหาร
  2. ล้างฟันปลอมด้วยน้ำสะอาด ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ฟันปลอมเสียรูปทรง
  3. ใช้แปรงขนนุ่มทำความสะอาด และยาสีฟันสูตรอ่อนโยนหรือสบู่เหลวแทนยาสีฟันทั่วไป เพราะยาสีฟันบางชนิดมีสารกัดกร่อนที่อาจทำให้ฟันปลอมเป็นรอย
  4. แช่ฟันปลอมในน้ำยาฆ่าเชื้อ ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
  5. เช็ดให้แห้งก่อนใส่กลับเข้าไปในปาก และตรวจสอบว่าไม่มีเศษอาหารตกค้างก่อนใส่

 

 ข้อควรระวัง

  • ห้ามใช้น้ำร้อนแช่ฟันปลอมเพราะอาจทำให้วัสดุเสียรูป
  • ห้ามใช้แปรงขนแข็งขัดฟันปลอมเพราะอาจทำให้พื้นผิวเป็นรอย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีเม็ดสครับเพราะอาจทำให้ฟันปลอมสึกกร่อน

 

ฟันปลอมติดแน่น: ฟันปลอมแบบติดแน่น เช่น สะพานฟัน หรือรากฟันเทียม สามารถทำความสะอาดได้เหมือนฟันธรรมชาติ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ไหมขัดฟันและแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าถึงยาก

 

 ขั้นตอนการทำความสะอาดฟันปลอมติดแน่น

  1. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันที่ไม่มีสารกัดกร่อน
  2. ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน เพื่อทำความสะอาดบริเวณใต้สะพานฟันและซอกฟัน
  3. ใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นประจำ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดคราบพลัค
  4. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารแข็งมาก ๆ เช่น กระดูกแข็ง หรือถั่วที่เปลือกแข็ง เพราะอาจทำให้ฟันปลอมแตกหักได้

2. คำแนะนำในการใช้งานช่วงแรก

ฟันปลอมเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับช่องปากของคุณ ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาปรับตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เริ่มใช้งาน อาจมีอาการไม่สบายตัวหรือรู้สึกแปลกไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติไม่ต้องกังวล

 

 เคล็ดลับสำหรับการปรับตัวในช่วงแรก

  • พูดให้มากขึ้น ซึ่งการพูดออกเสียงอาจรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติในช่วงแรก ลองฝึกพูดหน้ากระจกหรืออ่านหนังสือออกเสียงเพื่อให้ลิ้นและปากปรับตัวเข้ากับฟันปลอม
  • เคี้ยวอาหารอย่างระมัดระวังโดยเริ่มจากอาหารเนื้อนุ่ม หลีกเลี่ยงอาหารเหนียวหรือแข็งในช่วงแรก
  • อย่ากัดหรือดึงฟันปลอมด้วยฟันหน้า เพราะอาจทำให้ฟันปลอมเสียหาย หรือทำให้ฟันปลอมหลวม
  • หากรู้สึกเจ็บหรือระคายเคือง ควรปรึกษาทันตแพทย์ บางครั้งอาจต้องปรับแต่งฟันปลอมให้กระชับขึ้น

 

 ข้อห้ามที่ควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออาหารเหนียว เพราะอาจทำให้ฟันปลอมขยับได้
  • ห้ามใส่ฟันปลอมขณะนอนหลับ กรณีฟันปลอมสามารถถอดได้ เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดบนเหงือกและเป็นสาเหตุของการระคายเคือง

  

3. การเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็ก

แม้ว่าฟันปลอมจะช่วยให้คุณกลับมายิ้มและใช้งานฟันได้ตามปกติ แต่ก็ต้องได้รับการตรวจเช็กเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่ายังสามารถใช้งานได้ดี และไม่มีปัญหาสุขภาพช่องปากอื่น ๆ ตามมา

 

ช่วงเวลาที่ควรพบทันตแพทย์

  • ช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังใส่ฟันปลอม หรือตามเวลาที่ทันตแพทย์นัด เพื่อตรวจสอบว่าฟันปลอมพอดีหรือไม่ และมีอาการระคายเคืองหรือไม่
  • ทุก ๆ 6 เดือน – 1 ปี ควรเข้ารับการตรวจเช็กสุขภาพฟันปลอม และทำความสะอาดโดยทันตแพทย์

 

ในบางกรณีฟันปลอมอาจมีการเสื่อมสภาพหรือหลวมเมื่อใช้งานไปนาน ๆ การพบทันตแพทย์จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น คุณควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ และมีเครื่องมีการรักษาครบครัน เพื่อให้ตลอดการเข้ารับบริการคุณจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด

อยากทำฟันปลอมเลือกคลินิกไหนดี?

Anytooth คลินิกทันตกรรม สุขสวัสดิ์ เราใส่ใจในทุกรายละเอียดของการทำฟันปลอม ตั้งแต่การประเมินโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง การเลือกใช้วัสดุคุณภาพระดับสากล ไปจนถึงการดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยและราคาเป็นกันเอง สามารถแบ่งจ่ายได้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า จะได้รับฟันปลอมที่พอดี ใช้งานได้จริง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคุณในระยะยาว

ติดตามข่าวสารและบริการเพิ่มเติมจาก Anytooth ได้ที่นี่

จองคิวปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางที่ Anytooth

ช่องทางการติดต่อ

Tel. 087-112-8888

Line ID: @anytooth

นัดหมายทัตแพทย์ Anytooth
ให้คำปรึกษาฟรี!

นัดหมายทำฟัน